แนวข้อสอบ
ระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ.2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
***************
1. ระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ มีกี่ฉบับ
ก. 4 ฉบับ ค. 3 ฉบับ
ข. 6 ฉบับ ง. 5 ฉบับ
ตอบ ก. 4 ฉบับ
2. ระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ.2548 ให้ใช้บังคับในวันใด
ก. 1 มกราคม 2548 ค. 1 ตุลาคม 2548
ข. 1 เมษายน 2548 ง. 1 ธันวาคม 2548
ตอบ ค. 1 ตุลาคม 2548
3. “เป้าหมายยุทธศาสตร์ระดับชาติ” หมายความว่าอย่างไร
ก. ผลสัมฤทธิ์ที่รัฐบาลต้องการจะให้เกิดต่อประชาชน
ข. ผลสัมฤทธิ์ที่รัฐบาลต้องการจะให้เกิดต่อประเทศ
ค. ผลสัมฤทธิ์ที่รัฐบาลต้องการจะให้เกิดต่อประชาชนและประเทศ
ง. ผลสัมฤทธิ์ที่รัฐบาลต้องการจะให้เกิดต่อส่วนรวม
ตอบ ค.ผลสัมฤทธิ์ที่รัฐบาลต้องการจะให้เกิดต่อประชาชนและประเทศ
4. “สำนักเบิกส่วนกลาง” หมายความว่า
ก. สำนักงานคลังจังหวัด ค. กรมสรรพากร
ข. กรมบัญชีกลาง ง. กรมสรรพสามิต
ตอบ ข. กรมบัญชีกลาง
5. ใครมีหน้าที่รับผิดชอบต่อการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายที่ได้รับมอบอำนาจตามระเบียบนี้
ก. หัวหน้าส่วนราชการ ค. รัฐมนตรี
ข. หัวหน้ารัฐวิสาหกิจ ง. ถูกทั้ง ก และ ข
ตอบ ง. ถูกทั้ง ก และ ข
6. ลักษณะที่ 2 หมวดที่ 1 ในระเบียบนี้ว่าด้วยเรื่องอะไร
ก. การจัดทำและการปรับปรุงแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณงบประมาณ
ข. การจัดสรรงบประมาณรายจ่าย
ค. การใช้รายจ่ายจากงบประมาณรายจ่าย
ง. การโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่าย
ตอบ ก. การจัดทำและการปรับปรุงแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณงบประมาณ
7. ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจต้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณส่งให้สำนักงบประมาณพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนวันเริ่มต้นปีงบประมาณไม่น้อยกว่ากี่วัน
ก. ไม่น้อยกว่า 7 วัน ค. ไม่น้อยกว่า 30 วัน
ข. ไม่น้อยกว่า 15 วัน ง. ไม่น้อยกว่า 45 วัน
ตอบ ข.ไม่น้อยกว่า 15 วัน
8. หน่วยงานใดมีหน้าที่จัดสรรงบประมาณให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจให้สอดคล้องกับแผนการปฏิบัติงาน
ก. กระทรวงการคลัง ค. กรมบัญชีกลาง
ข. กรมสรรพากร ง. สำนักงบประมาณ
ตอบ ง. สำนักงบประมาณ
9. สำนักงบประมาณจะไม่จัดสรรงบประมาณให้กับส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ไม่ส่งแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณภายในกี่วัน
ก. 30 วัน ค. 15 วัน
ข. 60 วัน ง. 90 วัน
ตอบ ค. 15 วัน
10. ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจต้องเร่งการดำเนินงานจัดสรรงบประมาณรายจ่ายของแผนงาน แผนงานในเชิงบูรณาการ ผลผลิตหรือโครงการ ประเภทงบรายจ่ายและรายการในงบรายจ่าย ที่ต้องดำเนินการในเขตพื้นที่จังหวัด ภายในกี่วันนับแต่วันที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ
ก. 15 วัน ค. 30 วัน
ข. ไม่เกิน 15 วัน ง. ไม่เกิน 30 วัน
ตอบ ข. ไม่เกิน 15 วัน
ข้อสอบ หลักการบัญชี
คำสั่ง ให้เลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว
1. การบัญชี หมายถึง
(1) การจัดทำบัญชีรับจ่ายเงินสด
(2) การจัดหาข้อมูลทางการเงินของกิจการค้า
(3) การจดบันทึก รวบรวม และสรุปผลข้อมูลทางการเงิน
(4) การจดบันทึก การจำแนก การสรุปผล และการรายงานเกี่ยวกับการเงิน โดยใช้หน่วยเงินตรา
รวมทั้ง การแปลความหมายของผลการปฏิบัติ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ ข้อ 4. การบัญชี (Accounting) หมายถึง การจดบันทึกรายการหรือเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับ การเงิน ไว้ในรูปของเงินตรา จัดแยกหมวดหมู่ของรายการที่บันทึก สรุปผล และวิเคราะห์ความหมายของ รายการที่ได้จดบันทึกไว้ โดยจัดทำในรูปของรายงานการเงิน
2. งบดุลของกิจการค่าจะแสดงถึง
(1) ผลการดำเนินงานในงวดหนึ่ง ๆ ของกิจการค้า
(2) ฐานะการเงินของกิจการค้า ณ วันใดวันหนึ่ง
(3) สินทรัพย์ หนี้สิน และทุนในรอบระยะเวลาหนึ่ง ๆ ของกิจการค้า
(4) ส่วนของเจ้าของ ณ วันใดวันหนึ่ง
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ ข้อ2. งบดุล (Balance Sheet) คือ งบที่แสดงฐานะของกิจการ ณ วันใดวันหนึ่งว่า กิจการมี
สินทรัพย์ หนี้สิน และทุนจำนวนเท่าใด
3. งบกำไรขาดทุนของกิจการค้า แสดงถึง
(1) ผลการดำเนินงานในรอบระยะเวลาการดำเนินงานหนึ่ง ๆ ของกิจการค้า
(2) ฐานะการเงินของกิจการค้า ณ วันใดวันหนึ่ง
(3) ผลการดำเนินงานกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิ ณ วันสิ้นปี
(4) การเปรียบเทียบระหว่างรายได้กับค่าใช้จ่ายในแต่ละปี
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ ข้อ 1. งบกำไรขาดทุน (Income Statement) คือ งบที่แสดงผลการดำเนินงานของกิจการ ณ งวด
บัญชีหนึ่ง ๆ ว่ากิจการมีรายได้และค่าใช้จ่ายเท่าไร ถ้ารายได้มากกว่าค่าใช้จ่ายผลต่างคือกำไร
4. กิจการหนึ่งมีสินทรัพย์ 100,000 บาท และมีส่วนของเจ้าของ 60,000 บาท กิจการมีหนี้สินเท่าใด
(1) 160,000 บาท (2) 100,000 บาท (3) 60,000 บาท (4) 40,000 บาท
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ ข้อ 4. จากสมการบัญชี
สินทรัพย์รวม = หนี้สินรวม + ทุน (ส่วนของเจ้าของ)
100,000 = 40,000 + 60,000
5. สมการบัญชีที่ถูกต้อง คือ
(1) สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนของเจ้าของ
(2) สินทรัพย์ – ค่าใช้จ่าย = หนี้สิน + ส่วนของเจ้าของ + รายได้
(3) สินทรัพย์ + หนี้สิน = ส่วนของเจ้าของ
(4) ถูกทั้งข้อ 1 และข้อ 3
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ ข้อ 1. สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนของเจ้าของ
6. เมื่อเจ้าของนำสินทรัพย์มาลงทุนจะมีผลกระทบต่อสมการบัญชีคือ
(1) ทำให้สินทรัพย์เพิ่มขึ้นและส่วนของเจ้าของเพิ่มขึ้น
(2) ทำให้สินทรัพย์ลดลงและส่วนของเจ้าของเพิ่มขึ้น
(3) ทำให้สินทรัพย์เพิ่มขึ้นและหนี้สินลดลง
(4) ทำให้สินทรัพย์เพิ่มขึ้นและส่วนของเจ้าของลดลง
(5) ทำให้สินทรัพย์ลดลงและส่วนของเจ้าของลดลง
ตอบ ข้อ 1. การบันทึกรายการบัญชีเมื่อเจ้าของกิจการนำทรัพย์สินมาลงทุน
เดบิท บัญชีประเภทสินทรัพย์ xx สินทรัพย์เพิ่ม
เครดิต บัญชีประเภททุน xx ทุนเพิ่ม
7. เมื่อซื้อสินทรัพย์เป็นเงินเชื่อ จะมีผลกระทบต่อสมการบัญชีคือ
(1) ทำให้สินทรัพย์เพิ่มขึ้นและส่วนของเจ้าของลดลง
(2) ทำให้สินทรัพย์เพิ่มขึ้นและหนี้สินเพิ่มขึ้น
(3) ทำให้หนี้สินเพิ่มขึ้นและหนี้สินลดลง
(4) ทำให้สินทรัพย์เพิ่มขึ้นและส่วนของเจ้าของเพิ่มขึ้น
(5) ทำให้สินทรัพย์เพิ่มขึ้นและสินทรัพย์ลดลง
ตอบ ข้อ 2. การบันทึกรายการบัญชีเมื่อซื้อสินทรัพย์เป็นเงินเชื่อ
เดบิท บัญชีประเภทสินทรัพย์ xx สินทรัพย์เพิ่ม
เครดิต บัญชีประเภทหนี้สิน xx หนี้สินเพิ่ม
8. เมื่อจ่ายชำระหนี้สิน จะมีผลกระทบต่อสมการบัญชีคือ
(1) ทำให้สินทรัพย์ลดลงและหนี้สินลดลง
(2) ทำให้หนี้สินลดลงและส่วนของเจ้าของลดลง
(3) ทำให้สินทรัพย์ลดลงและส่วนของเจ้าของลดลง
(4) ทำให้หนี้สินลดลงและทรัพย์สินเพิ่มขึ้น
(5) ทำให้เจ้าหนี้ลดลงและเงินสดเพิ่มขึ้น
ตอบ ข้อ 1. การบันทึกรายการบัญชีเมื่อจ่ายชำระหนี้สิน
เดบิท บัญชีประเภทหนี้สิน xx หนี้สินลด
เครดิต บัญชีประเภทสินทรัพย์ xx สินทรัพย์ลด
9. เมื่อเก็บเงินจากลูกหนี้ จะมีผลกระทบต่อสมการบัญชีคือ
(1) ทำให้เงินสดเพิ่มขึ้นและหนี้สินลดลง
(2) ทำให้สินทรัพย์เพิ่มและสินทรัพย์ลดลง
(3) ทำให้สินทรัพย์เพิ่มและส่วนของเจ้าของเพิ่มขึ้น
(4) ทำให้สินทรัพย์เพิ่มและส่วนของเจ้าของลดลง
(5) ทำให้เงินสดเพิ่มขึ้นและเจ้าหนี้ลดลง
ตอบ ข้อ 2. การบันทึกรายการบัญชีเมื่อเก็บเงินจากลูกหนี้
เดบิท บัญชีประเภทสินทรัพย์ xx สินทรัพย์เพิ่ม
เครดิต บัญชีประเภทสินทรัพย์ xx สินทรัพย์ลด
10. หลักการของระบบบัญชีคู่คือ
(1) การจดบันทึกรายการค่าลงในสมุดรายการขั้นต้น
(2) การจดบันทึกรายการค่าลงในบัญชีแยกประเภท
(3) การจดบันทึกรายการค่าทุกรายการจะต้องบันทึกในบัญชีไม่น้อยกว่าสองบัญชีด้วยจำนวนเงินด้านเดบิทและเครดิตเท่ากัน
(4) การจดบันทึกรายการค่าต้องบันทึกทั้งสองด้านคือด้านเดบิทและด้านเครดิต
(5) ถูกทั้งข้อ 1 และข้อ 2
ตอบ ข้อ 3. หลักการของระบบบัญชีคู่ (Double - Entry Accounting) หมายถึง เมื่อมีรายกาทางการค้า
เกิดขึ้นทุกรายการต้องนำมาบันทึกไว้ในบัญชีสองด้าน คือ ทางด้านเดบิทและทางด้าน
เครดิต ด้วยจำนวนเงินที่เท่ากันทั้งสองด้าน แต่จำนวนบัญชีที่ลงนั้นไม่จำเป็นต้องเท่ากัน
กล่าวคือ อาจ บันทึกทางด้านเดบิทเพียงบัญชีเดียว แต่บันทึกทางด้านเครดิตสองหรือสามบัญชีก็ได้
#คลิ๊กดูแนวข้อสอบราชการที่ www.โหลดแนวข้อสอบราชการ.com
#รวมข้อสอบที่ออกบ่อยๆ รวบรวมโดยอาจารย์ของสถาบัน
#เจาะลึกครอบคุมตรงประเด็น เนื้อหาสาระสำคัญ ข่าวสารทันโลก
#จำหน่ายแนวข้อสอบมานานกว่า 10 ปี การรันตีจากผู้สอบติดมากมาย
#รวมหนังสือหรือไฟล์ เหมาะกับผู้ที่ไม่มีเวลาไปนั่งติว
แนวข้อสอบมี 2 รูปแบบ
1.แบบที่ 1 รอรับได้เลย ราคาเพียง 399 บาท (รอรับ 1-2 ชม หลังโอน)
2.แบบที่ 2 หนังสือ **ฟรี MP3** ราคา 699 บาท (ส่งฟรีขนส่งเอกชน)
ติดต่อสอบถาม/สั่งซื้อแนวข้อสอบ
Line ID : Panisara_test หรือคลิ๊กสั่งซื้อทันที
ชำระค่าสินค้าและบริการ
-ธ.กรุงไทย เลขที่บัญชี 983-0-97701-3
-ธ.กสิกรไทย เลขที่บัญชี 549-2-17930-4
(ชื่อบัญชี ปาณิสรา พระกาย ออมทรัพย์ สาขามหาวิทยาลัยขอนแก่น)